ในความเป็นจริง ตัวชี้วัดความสุขในสถานที่ทำงานที่ดีที่สุดคือจำนวนเพื่อนหรือคนสนิทที่คุณมีในออฟฟิศ เพราะการมีมิตรภาพที่ดีในออฟฟิศหรือการมีเพื่อนที่คุณสามารถไว้วางใจหรือสังสรรค์กับพวกเขาได้ ทั้งพูดคุยระหว่างทำงาน และสามารถชวนออกไป hang out หลังเลิกงานได้นั้นจะยิ่งเพิ่มความสุขให้กับคุณมากขึ้น   นี่คือ 5 วิธีที่สามารถช่วยกระชับความสัมพันธ์ในองค์กรของคุณได้มากขึ้น    เป็นมิตรกับผู้มาใหม่ การสร้างโอกาสเพื่อเพิ่มความสนิทสนมกับพนักงานที่เข้ามาใหม่นั้นถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการที่คุณรู้จักชวนเขาคุยด้วยท่าทีเป็นกันเองจะทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายกับการทำงานในสถานที่ใหม่ มันยังทำให้เขารู้สึกว่ามีคนยอมรับเขาและพร้อมจะเปิดใจให้กับผู้มาใหม่ อย่าลืมหาโอกาสประชุมอย่างไม่เป็นทางการเพื่อทำความรู้จักและอัพเดทข้อมูลสำคัญหรือรายละเอียดของงานและองค์กรให้พนักงานใหม่ได้รับรู้   จับคู่ซื้อกาแฟในแต่ละเดือน ลองจัดกิจกรรมสนุก ๆ เพื่อสร้างความรู้จักและความสนิทสนมกับเพื่อนร่วมงานโดยการนำชื่อของทุกคนในบริษัทมารวมกันและสุ่มจับคู่ให้กับแต่ละคน เมื่อได้คู่หูคู่ซี้ในการดื่มกาแฟร่วมกันแล้ว นั่นจะเป็นโอกาสดีในการเริ่มต้นการสนทนา พวกเขาจะมีโอกาสได้เจอกับเพื่อนต่างแผนก และถามไถ่ในเรื่องต่าง ๆ เช่น ทำงานในแผนกนั้นเป็นอย่างไร ชอบกินกาแฟแบบไหน นั่นเป็นกิจกรรมที่ดีสำหรับการพบปะผู้คนในบริษัทมากขึ้น และเพิ่มความผ่อนคลายเวลาพูดคุยกับคนใหม่ ๆ ได้อีกด้วย   จัดปาร์ตี้กัน วิธียอดเยี่ยมในการรวมคนเข้าด้วยกันและทำให้พวกเขารู้สึกผ่อนคลายเป็นกันเองให้ได้มากที่สุดคือการจัดปาร์ตี้สำหรับพวกเขา แต่ถ้าหากให้คุณจัดการงานเองทั้งหมด นั่นอาจจะดูเป็นทางการเกินไป ลองแจ้งให้พนักงานทุกคนได้ทราบเพื่อให้ทุกคนได้ช่วยกันระดมความคิดว่าควรจะจัดปาร์ตี้ออกมาในรูปแบบไหน แค่การเริ่มต้นวางแผนด้วยกัน ทุกคนก็จะเริ่มคิดถึงไอเดียดี ๆ ร่วมกันได้มากแล้ว ยิ่งถ้าได้ร่วมปาร์ตี้กัน นั่นจะยิ่งเพิ่มความสนุกสนานและมิตรภาพให้พวกเขาได้อีกแน่นอน   กระชับมิตรในช่วงอาหารเที่ยง ช่วงเวลาพักเที่ยง เป็นเวลาที่ทุกคนมารวมตัวกันมากที่สุด ในระหว่างที่ทุกคนเพลิดเพลินกับอาหารเที่ยง ลองจัดตั้งการพรีเซนต์อะไรซักอย่าง โดยให้คนทั้งแผนกนั้นออกมาพูด […]

Richard Branson นับว่าเป็นบุคคลต้นแบบของใครหลายคนเพราะเขาประสบความสำเร็จในหลาย ๆ ด้านและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่เสมอ วันนี้เราจะมาลองไขกุญแจเคล็ดลับการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จในแบบของเขากัน   อย่าวัดความสำเร็จของคุณด้วยจำนวนเงินที่คุณสร้าง บ่อยครั้งที่คนเราวัดความสำเร็จของตัวพวกเขาเองจากจำนวนเงินที่ได้ แต่แบรนสันเน้นย้ำว่า ถ้าเรารู้จักมีความสุขกับสิ่งที่เราทำและมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโลกของเราให้มันดีขึ้น เดี๋ยวเงินก็จะตามมาเอง ไม่ว่าคุณจะประสบความสำเร็จในชีวิตมามากหรือน้อยเท่าไหร่ คุณควรรู้สึกว่าต้องทำมากกว่านี้ ความสำเร็จเป็นเป้าหมายที่ไม่ควรหยุดนิ่ง จงรู้สึกขอบคุณกับสิ่งที่มีอยู่และมุ่งมั่นที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง นั่นแหละคือสิ่งที่ดี   สนใจคนรอบตัว มากกว่าอุปกรณ์สื่อสาร แบรนสันกล่าวว่าเขารักในเทคโนโลยีปัจจุบันนี้มากแต่เขาก็รู้จักกำหนดลิมิตของมัน โดยเฉพาะเมื่อเขาอยู่กับครอบครัวและเพื่อนสนิท ไม่มีอะไรดีไปกว่าการพูดคุยกันต่อหน้าและใช้เวลาอยู่กับพวกเขาให้ได้มากที่สุด โดยที่ไม่สนใจอุปกรณ์สื่อสารใด ๆ “เราสามารถใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันได้มีความสุขมากขึ้น ลองหันมาพูดคุยกับคนรอบตัว สนใจสารทุกข์สุขดิบของพวกเขามากกว่าจับมือถือ แค่คุณสนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวคุณ นั่นจะส่งผลดีให้กับความสัมพันธ์ของคุณกับพวกเขาด้วย” เขากล่าว   จงรู้สึกสนุกไปกับทุกสิ่ง ถ้าคุณไม่รู้สึกสนุกกับสิ่งที่คุณทำ นั่นแปลว่าคุณกำลังทำแบบผิด ๆ  ในทุกสิ่งที่คุณลงมือทำคุณควรหาวิธีที่คุณจะรู้สึกสนุกและเพลิดเพลินไปกับสิ่งที่ทำ กล่าวอีกนัยหนึ่ง แทนที่คุณจะรู้สึกว่าทำงานเพื่อมีชีวิตอยู่คุณควรจะรู้สึกว่ามีชีวิตอยู่เพื่อทำงาน เพื่อทำในสิ่งที่คุณรักจะดีกว่า “ ความรู้สึกสนุกในสิ่งที่ทำนั้นถือเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดในการลงมือทำแต่ละครั้ง” และเมื่อคุณไม่รู้สึกสนุกหรือเพลิดเพลินกับโครงการใดโครงการหนึ่งอีกต่อไป นั่นก็ถึงเวลาที่จะเดินหน้าไปทำอย่างอื่นแทน   ออกไปทำกิจกรรมข้างนอกบ้าง กุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณมีความสุขคือหากิจกรรมที่ทำให้คุณได้ออกไปข้างนอกมากขึ้น เพราะการได้ออกไปข้างนอกสามารถช่วยให้คุณจัดการกับความเครียดได้ดียิ่งขึ้น และเพื่อเป็นการชาร์จแบตให้กับร่างกายของคุณได้อีกด้วย การปีนเขา ปั่นจักรยาน และเล่นเซิร์ฟบอร์ดเป็นกิจกรรมที่แบรนสันชอบทำในยามที่เขารู้สึกว่างหรือต้องการพลังงานมาเติมเต็ม เขามักจะแนะนำให้ทุกคนลองหากิจกรรมทำ แต่ถ้าหากว่าคุณรู้สึกว่าไม่มีเวลาจะออกไปไหนไกล ลองพาหมาออกมาเดินเล่น […]

การทำงานนั้นถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตมนุษย์เราและการถูกปฏิเสธก็นับเป็นเรื่องปกติเช่นกัน แต่ในบางครั้งคุณอาจจะถูกปฏิเสธจากงานที่คาดหวังไว้จนทำให้คุณรู้สึกท้อแท้หมดกำลังใจในการหางานต่อไป ลองอ่านบทความนี้เพื่อเป็นกำลังใจให้กับตัวเองและเพื่อช่วยให้ตัวคุณรู้สึกดีขึ้น เพราะว่าการถูกปฏิเสธนั้น บางครั้งก็ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรอีกหลาย ๆ อย่างก็เป็นได้   ยินดีกับตัวเองว่าอย่างน้อยก็มาได้ถึงขนาดนี้ เวลาคุณได้รับอีเมลตอบกลับมาว่าคุณไม่ผ่านการสัมภาษณ์หรือไม่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าทำงาน คุณอาจจะรู้สึกหมดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะงานที่คุณคิดว่าคุณต้องผ่านแน่ ๆ คุณอยากได้งานนี้ ลองคิดในแง่ดีว่าอย่างน้อยคุณก็ผ่านมาหลายขั้นตอนจนถึงขั้นสัมภาษณ์เลยทีเดียว วิธีเตือนตัวเองที่ดีที่สุดก็คือ ถือเสียว่านี่เป็นแค่หนึ่งในโอกาสที่คุณจะลองเสี่ยงเท่านั้นเอง คุณยังมีโอกาสอีกมากจนกว่าจะเจออันที่ใช่จริง ๆ เพราะคุณต้องการเพียงแค่งานที่ดีที่สุดเพียงงานเดียวเท่านั้น   บอกผู้สัมภาษณ์ว่าอย่าลืมนึกถึงคุณ หากมีตำแหน่งอื่นเปิดรับอีก ถ้าคุณสนใจในตัวบริษัทนั้นจริง ๆ จงอย่ารู้สึกท้อแท้ในการถูกปฏิเสธ คิดเสียว่านั่นเป็นโอกาสครั้งแรกสำหรับคุณ และหากครั้งหน้าที่บริษัทเปิดรับสมัครในตำแหน่งนี้หรือตำแหน่งอื่นที่คุณสนใจ อย่าลืมบอกผู้สัมภาษณ์ไว้ว่าลองให้คุณเป็นหนึ่งในตัวเลือกครั้งถัดไป เพราะหากครั้งนี้ไม่ใช่ทีของคุณ ครั้งหน้ามันอาจจะใช่ก็ได้   ลองถามถึงสาเหตุดู แต่คุณต้องระวังให้ดี หลายบริษัทพร้อมที่จะเปิดใจบอกถึงสาเหตุว่าทำไมคุณถึงไม่ผ่านการสัมภาษณ์และไม่ได้รับคัดเลือกให้เข้าทำงาน และการสอบถามข้อมูลตรงนั้นอาจช่วยให้คุณปรับปรุงในเรื่องที่คุณมองไม่เห็นก็ได้ แต่ในขั้นตอนนี้คุณต้องระวังให้ดี เพราะในบางครั้งพวกเขาอาจจะไม่มีเวลาและรู้สึกรำคาญเกี่ยวกับเหตุการณ์แบบนี้ ลองใช้คำพูดดี ๆ กระชับและรวบรัด นั่นจะทำให้พวกเขารู้สึกถึงความจริงใจของคุณได้   ถ้าหากคุณถูกปฏิเสธหลายครั้ง ลองกลับมาเช็คเรซูเม่ดูใหม่ เผื่อมีอะไรผิดพลาด หลายครั้งที่ผู้สมัครพลาดงานที่เหมาะสมกับคุณสมบัติของตัวเองไปเพียงเพราะว่าเขาลงข้อมูลในเรซูเม่ไม่ถูกต้อง หรือมองข้ามข้อมูลบางอย่างที่สำคัญของตนเองจนทำให้ลงข้อมูลไม่ครบ ขั้นตอนแรกของการรับคนเข้าทำงานคือการพิจารณาทักษะและคุณสมบัติว่าเหมาะสมกับองค์กรหรือไม่ เพราะฉะนั้น เคล็ดลับที่ดีในการสมัครงานแต่ละครั้ง คุณควรปรับข้อมูลในเรซูเม่ให้เข้ากับความต้องการขององค์กรเสมอ และการอัพเดทเรซูเม่อยู่ตลอดยังแสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้นของคุณอีกด้วย   เมื่อต้องกลับไปหางานใหม่ […]

  การได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นหรือได้รับโบนัสนั้นสามารถทำให้เรามีความสุขกับการทำงานและการใช้ชีวิตมากขึ้น นี่อาจเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่สำหรับพนักงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงานใหม่ในวัย 20 ต้น ๆ ที่เมื่อได้รับเงินเดือนเงินโบนัสมาแล้วก็จะรีบใช้ไปกับสิ่งของที่อยากได้จนลืมคำนึงถึงอนาคตในภายภาคหน้า   ดังนั้น ถ้าหากว่าคุณยังไม่มีแผนสำหรับการใช้เงินหรือการเก็บเงินไว้ในยามฉุกเฉิน นี่คือ 3 สิ่งแรกที่ควรทำกับรายได้คุณ เพื่อผลประโยชน์ของตัวคุณเอง   สำรองไว้สำหรับเป็นเงินทุนฉุกเฉิน ทุกคนล้วนต้องการเงินจากกองทุนฉุกเฉินกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมรถยนต์ ค่าใช้จ่ายสำหรับลูก หรือเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเหตุฉุกเฉินจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ดังนั้นเราจึงไม่ควรประมาทและวางแผนสำรองเงินในส่วนนี้ไว้ให้ดี ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เก็บออมเงินฉุกเฉินไว้ราว ๆ 3 ถึง 6 เท่าจากเงินเดือนของคุณ การเก็บเงินเพื่อสำรองไว้เป็นเงินฉุกเฉินนั้นสามารถทำให้คุณได้รับอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 2% เลยทีเดียว เพราะฉะนั้นแล้ว ในยามที่เราได้เงินมาควรแบ่งไว้เพื่อเป็นเงินฉุกเฉิน จะทำให้คุณรู้สึกอุ่นใจไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น   การหักเงินแบบอัตโนมัติก็เป็นเรื่องดี การเก็บออมเงินโดยสมัครบัญชีออมทรัพย์ที่คุณเลือกให้หักเงินจากบัญชีของคุณโดยอัตโนมัติในทุกเดือนนั้นสามารถช่วยคุณได้มากในอนาคต การเก็บออมเงินโดยวิธีนี้นับว่าเป็นสิ่งที่ฉลาดมากอีกอย่างหนึ่งในการสำรองเงิน การเริ่มต้นเก็บเงินแบบนี้อาจทำให้คุณรู้สึกหวั่นใจกับรายได้ที่หายไปในช่วงเดือนแรก ๆ ที่เริ่มทำ แต่หากคุณลองนึกถึงผลพลอยได้ในภายภาคหน้า รับรองว่าตัวคุณเองในอนาคตจะรู้สึกขอบคุณตัวคุณเองในทุกวันนี้แน่ ๆ   รักษานิสัยการใช้เงินแบบเดิมไว้ ถึงแม้ว่าคุณจะมีรายรับเพิ่มขึ้น แต่นั่นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายหรือซื้อสิ่งของอันอื่นนอกเหนือจากความจำเป็น คุณอาจต้องการของขวัญเพื่อเป็นรางวัลให้กับตัวเองบ้าง แต่ก็ไม่ควรทำบ่อยจนเกินไป Tom C. Corley ผู้เขียนของ […]

การสร้างความท้าทายให้เป็นวัฒนธรรมในองค์กรนั้นนับว่าเป็นสิ่งสำคัญเลยทีเดียว เพราะถึงแม้บริษัทคุณจะเติบโตมากแค่ไหน แต่พนักงานนั้นยังไม่เคยได้รับความท้าทายใหม่ ๆ นั่นก็จะทำให้เขารู้สึกเบื่อและเริ่มมองหางานที่อื่นแทนก็เป็นได้ จากการสำรวจของ Korn Ferry พบว่า สภาพแวดล้อมการทำงานที่หยุดนิ่ง ไม่มีอะไรแปลกใหม่นั้นเป็นเหตุผลอันดับหนึ่งที่คนเริ่มมองหางานอื่นทำ การสร้างวัฒนธรรมเชิงบวกมีประโยชน์มากมายทั้งต่อธุรกิจและต่อผู้คนที่ทำงานที่นั่น การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมขององค์กรเป็นเรื่องยาก แต่มันก็ถือเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับองค์กรที่ต้องการเติบโตและประสบความสำเร็จ ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะเพิ่งเริ่มต้นหรือมีมานานแล้ว แต่มันไม่ใช่เรื่องยากหากคุณตั้งใจจะสร้างวัฒนธรรมใหม่ขึ้นมาเพื่อการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นสำหรับธุรกิจรวมถึงพนักงานของคุณ   ทำออกมาให้ดี และวางแผนไปสู่สิ่งที่ดีกว่า สำหรับบริษัทที่ต้องการพัฒนาความก้าวหน้าของตนเองอย่างต่อเนื่องนั้นมักจะตั้งเป้าหมายที่ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ อยู่เสมอ หนึ่งในสิ่งที่ทำให้พวกเขาสามารถพัฒนาได้มากขึ้นคือการรับฟังและยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างนั่นเอง การนำแนวคิดแบบ Agile มาใช้ในองค์กรเป็นหนึ่งในสิ่งที่สามารถช่วยให้พนักงานพัฒนาศักยภาพของตนเองได้ดีมากขึ้น เพราะจากรายงานของ PwC ได้ระบุว่าหลังจากได้ใช้แนวคิดแบบ Agile นั้น ทำให้ธุรกิจมีอัตราความสำเร็จดีขึ้นถึง 28 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว วิธีการคิดแบบ Agile เป็นสิ่งที่เหมาะกับทุกกลุ่มธุรกิจไม่ว่าจะขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ โดยระบบแนวคิดนี้จะเน้นไปที่การสื่อสารกับผู้คนรอบข้างเพื่อให้มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากขึ้น การทำความเข้าใจต่อความคิดของผู้อื่น เน้นการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากกว่าการทำงานให้จบ ๆ ไป แนวคิดนี้ยังมีคำศัพท์และรูปแบบความคิดที่สามารถปรับแต่งและปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับความต้องการของทุกองค์กร และยังอนุญาตให้ทุกคนแบ่งปันความคิดเห็นได้อย่างอิสระและสนับสนุนในความคิดเห็นของซึ่งกันและกันอีกด้วย ดังนั้น การยึดติดกับสภาพที่อยู่เดิมและระบบเดิมนั้นอาจสร้างความน่าเบื่อให้กับพนักงานในองค์กรได้ ลองใช้นวัตกรรมใหม่ ๆ เข้าช่วยสร้างความท้าทายให้กับพนักงานเพื่อสร้างแรงผลักดันในการทำงานและสร้างความเติบโตให้กับพนักงานของคุณ แถมผลลัพธ์ที่ได้นอกจากจะทำให้พวกเขามีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลงานของบริษัทก็จะก้าวหน้ามากขึ้นไปอีกด้วย   อัพเดทข่าวสารอยู่เสมอ ทุกคนในทีมควรอัพเดทข่าวสารในอุตสาหกรรมที่พวกเขากำลังทำงานอยู่ เพราะหากทีมของคุณกำลังท้าทายตัวเองเพื่อผลักดันให้เกิดนวัตกรรมและการเติบโต […]

กว่า 77% ของประชากร มักพบกับปัญหาสุขภาพที่มาจากการมีความเครียดเป็นประจำ ความเครียดเกิดขึ้นได้จาก 2 ปัจจัยใหญ่ๆ นั่นคือ ปัจจัยภายนอก เช่น เรื่องงาน การหย่าร้าง ความขัดแย้งในความสัมพันธ์ การย้ายบ้าน เป็นต้น ปัจจัยภายใน โดยที่บางคนมีนิสัยคิดมาก ชอบวิตกกังวลในเรื่องเล็กน้อย หรือสารเคมีในสมองไม่สมดุลทำให้เกิดอารมณ์เครียดและเศร้าง่าย ความเครียดเป็นการเปิดโอกาสให้ปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกมาก เช่น ขาดสมาธิ เป็นหวัดบ่อยครั้ง มีอาการประหม่า คลื่นไส้ กระบวนการคิดถดถอย ปวดเมื่อยตัวแบบไม่มีสาเหตุ สิ่งเหล่านี้นับว่าเป็นผลข้างเคียงแค่ไม่กี่อย่างของอาการเครียด แต่เมื่อใดก็ตามที่คุณมีความเครียดมากเกินไป มันอาจส่งผลให้คุณเผชิญกับภาวะสุขภาพที่รุนแรง เช่น ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน โรคเบาหวาน และ โรคหัวใจ เคล็ดลับขจัดความเครียดง่าย ๆ มีวิธีการมากมายที่ช่วยลดความเครียดและจัดการกับความเครียด นอกจากปฏิบัติตามหลักสุขศึกษา คือ กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังและนอนหลับให้เพียงพอแล้ว ยังมีวิธีการดังนี้ 1.ทำกิจกรรมที่ทำให้คุณรู้สึกสนุกเพลิดเพลินและผ่อนคลาย 2.ระบายอารมณ์ออกมาบ้าง เช่น พูดคุยถึงความรู้สึกกับเพื่อนหรือคนใกล้ชิด 3.ฝึกการผ่อนคลาย เช่น การฝึกหายใจ การทำสมาธิ […]

“หากคุณอยากทำอะไรให้เป็นที่รู้จัก ให้คุณถามผู้ชาย แต่หากคุณอยากทำอะไรให้สำเร็จ ให้คุณถามผู้หญิง” – มาร์กาเรต แทชเชอร์ (MARGARET THATCHER) จากบทสัมภาษณ์ของ The Strong Women’ s Club ที่จะสัมภาษณ์ ผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักกีฬา นักบินอวกาศและผู้ประกอบการ ผู้หญิงแต่ละคนมีประสบการณ์การที่ต่างกันออกไป แต่ที่น่าแปลกใจคือลักษณะนิสัยที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จมีความคล้ายกันอยู่ และนี่ก็คือส่วนหนึ่งของอุปนิสัยที่คล้ายกันของเหล่าผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จ 1. พัฒนาจุดแข็งที่มีอยู่ ผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จนั้นมักจะเลือกเส้นทางการทำงานโดยคำนึงถึงสิ่งที่พวกเขาทำได้ดีเป็นอันดับแรก และรองลงมาจึงทำสิ่งที่พวกเขารัก 2. มีความทะเยอทะยานสูง ผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จไม่ได้ฝันจะเป็นแค่ที่สุดของแผนกหรือหน่วยงาน แต่พวกเขาตั้งเป้าหมายที่จะเป็นที่สุดขององค์กรหรือระดับประเทศ 3. เป็นนักจัดการตัวยง “คนส่วนใหญ่ที่ฉันได้สัมภาษณ์มานั้น มักตอบตกลงอย่างรวดเร็ว พวกเขาจะเช็กปฏิทินของตัวเอง จองวันเวลา และเข้าสัมภาษณ์ โดยสิ่งที่พวกเขาตัดสินใจทำแต่ละอย่างนั้นพวกเขาจะทำอย่างเป็นลำดับขั้นตอน” Edie กล่าว 4. เรียนรู้อยู่เสมอ ผู้หญิงเหล่านี้มักจะพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ อีกทั้งยังมีที่ปรึกษาหรือโค้ชเพื่อช่วยเร่งการพัฒนาของพวกเขาให้เร็วขึ้นด้วย 5. มีคู่คิดและผู้คอยสนับสนุน “ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ฉันเคยคุยด้วยนั้น มักมีคู่คิดหรือสมาชิกในครอบครัวที่คอยช่วยสนับสนุนสิ่งที่พวกเขาทำอยู่” Edie กล่าว 6. พวกเขารู้ว่าความล้มเหลวกับความสำเร็จเป็นของคู่กัน ทุกๆ คนล้วนต่างเคยประสบกับความล้มเหลวก่อนที่จะก้าวไปถึงเป้าหมายหรือความสำเร็จกันทั้งนั้น 7. […]