4 เหตุผล ที่โลกโซเซียลกลายเป็นมลพิษ

 

ในสื่อสังคมออนไลน์ล่าสุดได้มีการสำรวจจาก Pew ว่า 1 ใน 4 ของคนอเมริกาลบ Facebook ออกจากโทรศัพท์ และกว่า 42 เปอร์เซ็นต์พวกเขาได้เลิกใช้ Facebook เป็นการถาวรในหลายสัปดาห์และหลายปีที่ผ่านมาคำถามที่เกิดขึ้นต่อจากนี้คือ

  • ถ้าพวกเขาเหล่านี้เริ่มต้นที่จะเลิกใช้โปรแกรมสื่อออนไลน์ยักใหญ่อย่าง Facebook หรือ Twitter แล้วพวกเขาจะทำอะไรต่อไป ?
  • พวกเขามีความเหนื่อยล้าอย่างมากต่อสิ่งมลพิษต่าง ๆ ที่เกิดบนโลกออนไลน์ พวกเขาจึงเลิกใช้มันไปอย่างถาวร หรือว่าพวกเขาไปใช้โปรแกรมสื่อออนไลน์อื่น ๆ ?
  • ถ้าหากใช่พวกเขากำลังมองหาอะไรกันอยู่ ?

เห็นได้ชัดว่าผู้คนต้องการพื้นที่เพื่อความเป็นส่วนตัวที่จะแชร์เรื่องราวให้คนที่พวกเขารู้จักและอยู่ในโลกออนไลน์ในพื้นที่ ที่เขาควรจะเป็นแค่นั้น ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เราสามารถเรียนรู้ได้ นอกเหนือจากบนโลกออนไลน์ ที่แน่นอนที่สุดคือ ผู้คนยังมีความเพลิดเพลินในการเชื่อมต่อสื่อสารกัน แต่เมื่อเราดึงความสัมพันธ์ตัวเองออกจากโลกออนไลน์แล้วละก็ นี้แหละคือความสัมพันธ์อย่างเป็นรูปอธรรมและแท้จริง บางทีพวกเราอาจจะต้องลบตัวเองออกจากสังคมออนไลน์ที่มีแวดล้อมเป็นมลพิษ และกลับไปเชื่อมต่อความสัมพันธ์แบบที่เคยมี
และนี่เป็น 4 เหตุผลหลังว่าทำไมโลกโซเซียลถึงกลายเป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม

 


 

1. โลกโซเซียลได้กลายเป็นตลาดที่ใคร ๆ ก็นึกถึงก่อน

Facebook ได้กลายเป็นตัวอย่างสำคัญในโลกออนไลน์ที่มีปริมาณในการใช้เยอะมากขึ้นและเกี่ยวข้องกับเชิงพาณิชย์มากกว่าการเชื่อมต่อกับเพื่อนหรือครอบครัว
เมื่อต้นปี 2561 รายได้โฆษณาของ Facebook พุ่งขึ้นถึง 48 เปอร์เซ็นต์ แสดงให้เห็นว่าความสามารถที่บริษัทสร้างรายได้เหนือกว่าความสามารถในการสร้างการเชื่อมต่อ Facebook ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในโลกโซเซียล โดยเฉพาะตอนที่ผู้บริหารลาออก เช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ผู้ก่อตั้งของบริษัท Whats App  ได้ทิ้งสิ่งที่เรียกว่า Data privacy clashes นั่นคือการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลหลังจากที่บริษัท Facebook เปลี่ยนนโยบายด้านการบริการใหม่ เพื่อที่จะขยายเครือข่ายของโลกออนไลน์มากขึ้น Facebook สามารถเข้าระบบผู้ใช้งานของ Whats App ได้ผ่านทางเบอร์โทรศัพท์ของบัญชีผู้ใช้งาน เพื่อนำเสนอโฆษณาอย่างทั่วถึง และ เมื่อผู้ก่อตั้ง Instagram ได้ตัดสินใจถอนตัวหลังจากที่ Mark Zuckerberg ต้องการที่จะทำ Apps ให้เป็นรูปแบบคล้ายกันกับ Facebook แต่ว่าผู้ก่อตั้งอยากทำให้มันแตกต่าง
เมื่อการตลาดของ Facebook เริ่มชะลอและหดตัวลง Mark ได้เริ่มหาวิธีใหม่ ๆ เพื่อที่จะทำในรูปแบบที่เขาต้องการ เขาได้แก้ปัญหาโดยซื้อ Apps อื่น ๆ ในโลกออนไลน์แทนที่จะแก้ไขตัว Facebook ของเขาเอง

 


 

2. การเปลี่ยนสถานะในโลกออนไลน์ผ่านการกดไลค์เป็นอันตรายต่อสุขภาพจิต

มีงานวิจัยหลายฉบับที่แสดงให้เห็นว่าภาวะทางจิตใจมีผลกระทบจากยอด Like คอมเมนต์ หรือการแชร์ และมีการพิสูจน์แล้วว่ามีผลต่อภาวะทางสุขภาพจิตของประชากรโดยทั่วไป
หนึ่งผลงานวิจัยมีรายงานว่า ในวารสาร American Journal of Epidemiology พบความสัมพันธ์ระหว่างสภาพจิตใจกับการไลค์โพสต์ และ มีอีกผลงานวิจัยโดยมหาวิทยาลัย Copenhagen ค้นพบว่ามีอีกหลายคนที่เกิดความเจ็บปวดจาก Facebook รูปแบบของการอิจฉาเพื่อนผ่านทางกิจกรรมที่เขาทำและโพสต์ลงใน โลกออนไลน์
รูปแบบของ Facebook ถูกนักวิจัยเรียกว่าการล่มสลายของบริบท ที่เปรียบเสมือนว่า ผู้ใช้งานถูกกักขังให้มีเพียงแค่บุคลิกภาพเดียวตามรูปแบบของ Facebook ซึ่งสิ่งเหล่านี้นักสังคมวิทยากล่าวว่า การแสดงลักษณะที่แตกต่างจากข้อมูลประจำตัวของเราขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่ตามมา บริบทที่เราเป็น เมื่อเราทำงานที่บาร์ บุคคลเดียวที่เราสร้างบน Facebook ทำให้เรา “แก้ไขตัวเอง” สิ่งที่เราทำเพื่อสร้างความสมบูรณ์แบบ เป็นสิ่งที่แสดงให้ผู้คนเห็นในโลกออนไลน์ อีกสาเหตุที่ทำให้เกิดความอิจฉาคือการซื้อคนติดตามตนเองไม่ว่าจะเป็นบน Twitter, YouTube, Facebook หรือว่า Instagram
สิ่งเหล่านี้ได้สร้างการตลาดสำหรับการเชื่อมโยงโลกออนไลน์ได้มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ยังบิดเบือนการรับรู้ของผู้คนที่อยู่บนโลกออนไลน์  ครั้งแล้วครั้งเล่า เกิดเป็นวัฏจักรที่ริเริ่มด้วยความอิจฉาวนไปวนมาเรื่อย ๆ

 


 

3. ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ถูกขายให้กับผู้ที่มีกำลังซื้อสูงที่สุด

Third-party data brokers บริษัทเก็บของมูลบุคคลที่สามหรือบริษัทต่าง ๆ ที่ขายข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า มีอิทธิพลอย่างมากในรูปแบบข้อมูลของโลกออนไลน์ ที่มีการเก็บข้อมูลเหล่านี้ในการทำธุรกรรมการเงิน หรือธุรกรรมต่าง ๆ และสามารถนำไปสร้างรายได้มหาศาลอีกด้วย
คนในโลกออนไลน์ส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจถึงความเหลื่อมล้ำเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัว จนกลายเป็นเรื่องปกติหรือเรื่องบังเอิญไปแล้ว ที่เขาเปิดเผยข้อมูลของตนเองอย่างไม่ได้ตั้งใจ โดยปกติแล้วผู้ใช้งานใน Facebook ส่วนใหญ่ จะถูกนำข้อมูลไปได้เมื่อบริษัทเก็บข้อมูลอย่าง Cambridge Analytics สามารถรวบรวมข้อมูลของผู้ใช้  Facebook ได้ถึง 87 ล้านบัญชี โดยไม่ได้ขออนุญาติ
ในทุกวันนี้ความปลอดภัยทางด้านข้อมูลรั่วไหล ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนักในโลกออนไลน์ ตามที่นักเขียน Chicago Tribune ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะกล่าวว่า

However, even these security breaches haven’t changed much about how users participate in social networks. According to a Chicago Tribune writer, experts have said “that”

ผู้ใช้หลายคนอาจสับสนต่อความเป็นส่วนตัวของข้อมูลหรือไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขาจะถูกเปิดเผยโดยยอมรับข้อกำหนดในการให้บริการเพื่อสร้างบัญชี
และหากการละเมิดความเป็นส่วนตัวเหล่านี้ ไม่สิ้นสุดผู้ใช้สามารถคาดหวังผลที่ตามมาได้ในอนาคตเท่านั้น

 


 

4. ผู้ใช้กำลังถูกบังคับให้เข้าสู่สภาพแวดล้อมที่เรียกว่า “สื่อสิ่งพิมพ์”

ปัจจุบันผู้คนให้คุณค่าและรางวัลต่อเนื้อหาที่น่าตื่นเต้น บางครั้งก็สามารถสร้างปัญหาให้กับความสัมพันธ์ที่ดีได้ รูปแบบของแพลตฟอร์มการมีส่วนร่วมเน้นโพสต์ที่เด่นชัด ทำให้ผู้คนบนโลกออนไลน์ต่างก็พยายามที่จะโพสต์ และทำให้เนื้อหาของตนเองน่าสนใจมากขึ้น
พฤติกรรมแบบนี้คือพฤติกรรมที่เรียกว่า เรียกร้องความสนใจ สิ่งเหล่านี้ทำให้คนอ่อนแอต่อการโฆษณาชวนเชื่อ ที่เป็นอันตรายและมีอิทธิพลต่อแคมเปญ ในช่วงปีที่ผ่านมามีกลุ่มวัยรุ่นที่ไม่มีชื่อเสียงมากนัก พยายามที่จะเรียกร้องความสนใจจากโลกออนไลน์ และยอดติดตาม พวกเขาพยายามบันทึกภาพผ่านกล้องวิดีโอ ขณะที่พวกเขากำลังกลืนสิ่งที่เรียกว่า Tide Pods นั่นคือ “น้ำยาซักผ้าแบบเจลบอล” นอกจากเหตุการณ์นี้ยังมีเรื่องของนักปฏิบัติการรัฐบาลรัสเซียโพสต์โฆษณาทางการเมืองบน Facebook ที่เข้าถึงชาวอเมริกัน 126 ล้านคนก่อนการเลือกตั้งในปี 2559 ที่ผ่านมา
จะเห็นได้ว่ามีลักษณะแบบนี้เกิดขึ้นอยู่บ่อย ๆ เช่นการพูดถึงเรื่องการเมืองในประเทศพม่า มีการพูดถึงลักษณะแสดงความเกลียดชัง ซึ่งต่อมามีการพูดถึงเรื่องฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของชาวโรฮิงญาอยู่ด้วย
ปัจจุบันสิ่งนี้กลายเป็นเครื่องมือที่มีอำนาจ โดยการพูดแสดงความคิดเห็นเกลียดชังต่อสิทธิส่วนบุคคล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง สิ่งนี้ได้สร้างแบบอย่างที่อันตรายเป็นอย่างมากต่อโลกออนไลน์ในอนาคต
ผู้ใช้งานบนโลกออนไลน์ ในอนาคตจะกลายเป็นสิ่งที่อิทธิพลในการสร้างมลพิษทางสังคมออนไลน์ ในปัจจุบันเราต่างก็รู้ว่า ระบบของสังคมออนไลน์มีจุดแตกหักอยู่เยอะแยะมาก บางครั้งก็ทำให้คู่รักที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต้องจบลงไปด้วยโลกออนไลน์ ข่าวต่าง ๆ แพร่หลายออกไป ทั้งเรื่องจริงและไม่จริง เรื่องราวทั้งที่ทำให้เกิดความละเอียดอ่อน สภาพแวดล้อมเชิงพาณิชย์ ที่ให้คุณค่าของเงินมากกว่าการเชื่อมต่อสื่อสารกัน 

Share on facebook
Facebook
Share on twitter
Twitter
Share on linkedin
LinkedIn